จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2562

เจาะลึก ‘ทุเรียนนนท์’ กับเหตุผลทำไมต้องลูกละหมื่น!!


เจาะลึก ‘ทุเรียนนนท์’ กับเหตุผลทำไมต้องลูกละหมื่น!!

หลายๆ คนคงสงสัยว่า ‘ทุเรียนนนท์‘ ราคาลูกละหมื่นจริงหรือ…?!! มีความพิเศษกว่าทุเรียนที่ปลูกในจังหวัดอื่นๆอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบให้กับทุกท่านในบทความนี้แน่นอน
ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนว่า ‘ทุเรียน‘ ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ราชาแห่งผลไม้’ ซึ่งพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่จะอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และที่พบว่ามีการปลูกมาที่สุดนั้นก็คือประเทศไทย จึงปฏิเสธไม่ได้อย่างยิ่งว่าเมืองไทยเรามีพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ปลูกอะไรก็งาม ผลไม้ก็มีนานาชนิดให้รับประทานตลอดทั้งปี
สำหรับทุเรียนที่ปลูกในประเทศไทยนั้นมีอยู่ประมาณ 7 กลุ่มสายพันธุ์ ซึ่งสายพันธุ์หลักที่ติดหูคนไทย อาทิ ก้านยาว หมอนทอง ชะนี กระดุม พวงมณี และอื่นๆอีกมากมาย โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะออกผลผลิตในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. เรียกได้ว่าเป็นช่วงฤดูกาลของทุเรียน ซึ่งคนที่ชื่นชอบในการรับประทานทุเรียนก็ต่างหาซื้อมาทานก็อย่างมากมาย
และ จ.นนทบุรี ก็ถือได้ว่าเป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องทุเรียนอย่างมาก ดั่งคำขวัญที่ว่า “พระตำหนักสง่างาม ลือนามสวนสมเด็จ เกาะเกร็ดแหล่งดินเผา วัดเก่านามระบือ เลื่องลือทุเรียนนนท์” ซึ่งหากเป็น ‘ทุเรียนนนท์’ แท้ๆ ดั้งเดิมราคาก็สูงมากเช่นกัน
วันนี้ MThaiNews ในช่วง ‘เกษตรสร้างรายได้‘ มีโอกาสได้เดินทางไปที่ ‘สวนทุเรียนนนท์ ป้าต้อย-ลุงหมู’ ตั้งอยู่ที่ 34/2 หมู่ที่ 3 ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นสวนของคุณมะลิวัลย์ หาญใจไทย หรือป้าต้อย และคุณสมนึก หาญใจไทย หรือลุงหมู สองสามีภรรยาที่ยังคงอนุรักษ์ ‘ทุเรียนนนท์’ ไว้
ป้าต้อย ได้เล่าให้ฟังว่าสวนทุเรียนแห่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อแม่ จวบจบ ณ ปัจจุบันนี้เวลาก็ผ่านล่วงเลยมากว่า 40 ปีแล้ว ตนก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำสวนมาตั้งแต่เด็กๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์เรื่อยมา ซึ่งในช่วงวัยรุ่นก็ตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อ เพราะอยากที่จะมุ่งสู่อาชีพชาวสวนทุเรียนอย่างเต็มตัว ประกอบกับเป็นคนที่ชื่นชอบและมีใจรักด้านการเกษตรอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันนี้ก็รับช่วงสืบทอดจากรุ่นพ่อแม่และพร้อมที่จะถ่ายทอดวิชาความรู้สู่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป
กับคำถามที่ว่า ‘ทุเรียนนนท์ ลูกละหมื่นจริงหรือไม่’ ป้าต้อยบอกกับทีมข่าวว่า แต่เดิมนั้นราคาทุเรียนนนท์ไม่ได้สูงขนาดนี้ เป็นราคาตามท้องตลาดทั่วไป แต่หลังช่วงปี 2538 ที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมขึ้นหลายๆ สวนได้รับความเสียหายทำให้ราคาเริ่มขยับขึ้นมาแต่ก็ยังไม่สูงมากนัก จนล่าสุดเมื่อปี 2554 ที่เกิดเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ได้รับผลกระทบหลายพื้นที่ แต่สวนของตนรอดพ้นจากวิกฤตินั้นมาได้ เนื่องมาจากความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน
ซึ่งน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนั้นก็ทำให้สวนทุเรียนนนท์เสียหายอย่างมาก บางสวนต้องยอมปิดตัวลงเนื่องจากการปลูกทุเรียนนั้นต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าจะได้ผลผลิตซึ่งไม่ต่ำกว่า 5-6 ปีเลยทีเดียว และปัจจุบันที่ จ.นนทบุรี ก็เหลือเกษตรกรที่ปลูกทุเรียนเพียงไมกี่สวนเท่านั้นจนทำให้ขาดตลาด นั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำไม ‘ทุเรียนนนท์’ จึงมีราคาแพงถึงลูกละ 10,000 บาท ซึ่งหลังจากปี 2554 ราคาทุเรียนนนท์ก็ขยับตัวสูงขึ้น โดยที่สวนเคยขายได้ในราคาสูงสุดอยู่ที่ลูกละ 20,000 บาท ซึ่งตนเองก็ไม่คาดคิดว่าราคาทุเรียนนท์จะพุ่งสูงได้ขนาดนี้
สำหรับจุดเด่นของทุเรียนนนท์มีความพิเศษไม่เหมือนที่อื่นๆ คือจะมีเปลือกที่บาง กลิ่นหอมไม่มีกลิ่นเหม็นฉุน ตัวเนื้อทุเรียนจะมีรสชาติที่หวานกลมกล่อมละมุมลิ้น และที่สำคัญไม่มีเสี้ยนอีกด้วย ซึ่งดิน จ.นนทบุรี นั้นจะมีความอุดมสมบูรณ์มีสารอาหารที่เหมาะสมต่อทุเรียนทำให้รสชาติของทุเรียนดีตามไปด้วย โดยทุเรียนขึ้นชื่อของที่สวนนั้นก็คือ ‘ก้านยาว’ ราคาขั้นต่ำสุดจะอยู่ที่ 5,000 บาท ขนาดกลาง 12,000 – 15,000 บาท สูงสุดอยู่ที่ 20,000 บาท ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของลูกด้วยเช่นกัน รองลงมาจะเป็น ‘หมอนทอง’ ราคาจะอยู่ที่ 2,000 – 5,000 บาท
โดยส่วนใหญ่อายุของต้นทุเรียนในสวนดั่งเดิมก็มีอยู่หลักสิบปีขึ้นไปทั้งสิ้น และมีอีกหลายๆต้นที่อายุมากกว่า 30-40 ปี ปัจจุบันที่สวนของป้าต้อยมีต้นทุเรียนมากกว่า 100 ต้น ในพื้นที่การเพาะปลูก 4 ไร่ สามารถให้ผลผลิตต่อปีเฉลี่ย 100-200 ลูกต่อปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างในแต่ละปี อาทิสภาพน้ำ ความร้อน รวมถึงการเผชิญกับภาวะน้ำเค็มด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ที่ส่วนทุเรียนของป้าต้อยปลูกทุเรียนด้วยการใช้วิธีการพูนดินหรือการยกโคก ซึ่งเป็นการปลูกที่เหมาะสมต่อต้นทุเรียนที่สุดทำให้รากหาอาหารได้เป็นอย่างดี ส่วนโรคที่พบได้บ่อยคือรากเน่าและเชื้อรา ซึ่งสาเหตุหลักๆ ก็มาจากถูกน้ำท่วมขัง โดยหากปล่อยให้น้ำท่วมขัง 7 วันรากของต้นก็จะเน่าทันที ที่สวนป้าต้อยจะทำการวิดน้ำทุกขังหากมีปริมาณในร่องสวนเกินกว่าที่กำหนดไว้ และจะมีการบำรุงต้นทุเรียนหลังจากช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตไปแล้ว หรือประมาณช่วงปลายเดือน มิ.ย. ก็จะกำจัดวัชพืชใส่ปุ๋ยมูลขี้ค้างคาวเป็นการบำรุงดินและเสริมสร้างสารอาหารให้กับต้นทุเรียนอีกด้วย
นอกจากสายพันธุ์ก้านยาวและหมอนทองแล้ว ที่สวนยังมีสายพันธุ์อื่นๆให้เลือกซื้อเช่น ชะนี พวงมณี สาวน้อย กระดุม กบ และอื่นๆ รวมทั้งยังมีผลไม้นานาชนิดอาทิ มังคุด ส้มโอ มะม่วงยายกล่ำ มะปราง ชมพู่ กล้วย และขนุน ซึ่งเมื่อออกผลผลิตก็สามารถนำไปจำหน่ายสร้างรายได้ เป็นการทำสวนทุเรียนผสมผสาน ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง จนได้รับให้เป็นสวนทุเรียนในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
และสิ่งที่น่าภูมิใจที่สุดในชีวิตของป้าต้อยคือการได้ทูลเกล้าฯถวายทุเรียนนนท์ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ก้านยาว ถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่โรงพยาบาลศิริราชกับพระราชวังไกลกังวล ในช่วงปี 2556 ซึ่งหลังจากนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ได้ทรงพระราชทานเมล็ดกลับมาที่สวน ตนเองก็ได้นำมีเพาะปลูกที่สวนจนปัจจุบันนี้อายุของต้นประมาณ 2 ปีแล้ว คาดว่าอีกประมาณ 3 ปี ก็สามารถที่จะให้ผลผลิตได้ และตั้งใจไว้ว่าหากได้ผลผลิตก็จะทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สำหรับใครที่สนใจซื้อทุเรียนนนท์ ต้องโทรสั่งจองล่วงหน้าได้ตั้งแต่เดือน เม.ย. เป็นต้นไป ซึ่งทุเรียนของสวนป้าต้อยนั้นไม่ได้มีการวางจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป จะเปิดจำหน่ายเฉพาะหน้าสวนเท่านั้น ซึ่งหากใครที่สนใจอยากเลือกซื้อ หรืออยากเข้ามาศึกษาข้อมูล สามารถไปได้ที่ ‘สวนทุเรียนนนท์ ป้าต้อย-ลุงหมู’ ตั้งอยู่ที่ 34/2 หมู่ที่ 3 ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี หรือติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 087-030-3629 (ป้าต้อย)
บทความโดย ธเนตร พุทธิตระกูล / ภาพ วิชาญ โพธิ

เกษตรกรเมืองนนท์หันปลูก ‘อินทผลัม’ ผลไม้ราคาแพงกำไรมหาศาล



เกษตรกรเมืองนนท์หันปลูก ‘อินทผลัม’ ผลไม้ราคาแพงกำไรมหาศาล
หากพูดถึงผลไม้ที่ชื่อว่า ‘อินทผลัม‘ หลายคนคงนึกถึงผลไม้ที่มีราคาสูง ซึ่งบางสายพันธุ์มีราคาสูงกว่าหนึ่งพันบาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว โดยผลไม้ชนิดนี้จัดเป็นพืชตระกูลปาล์มชนิดหนึ่ง มีมากกว่า 30 สายพันธุ์ และมีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง เป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดีในเขตที่มีอากาศร้อน ซึ่งในประเทศไทยเริ่มมีการเพาะปลูกมาหลายปีแล้ว

วันนี้ MThaiNews ในช่วง ‘เกษตรสร้างรายได้‘ ได้มีโอกาศเดินทางไปพบกับคุณปรีชา ธรรมเชาวรัตน์ อายุ 77 ปี เจ้าของ ‘สวนอินทผลัมปรีชา‘ ตั้งอยู่ที่ 70 หมู่ 2 ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งได้หันมาปลูก ‘อินทผลัม’ ส่งขายทั้งแบบเพาะเนื้อเยื้อ และจำหน่ายทั้งลูกอินทผลัม
โดยคุณปรีชา เปิดเผยว่าได้อยู่ในแวดวงเกษตรมานานกว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งแต่ก่อนทำไม้ดอกไม้ประดับนั้นคือสวนชวนชมลีลาวดี จนสร้างชื่อเสียงได้อย่างกว้างขวางเป็นที่รู้จักก่อนที่จะถึงจุดอิ่มตัว จนหันมาศึกษาเรื่อง ‘อินทผลัม‘ เมื่อช่วงปี 2557 โดยได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานจากสวนต่างๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ซึ่งเหตุผลที่เลือกอินทผลัมนั้น เพราะนอกจากจะเป็นพืชที่มีราคาดีแล้ว ยังเป็นพืชที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งมีสรรพคุณนานาชนิด
แรกเริ่มนั้นคุณปรีชาได้ลงทุนซื้อต้นอินทผลัมมาจำนวน 200 ต้น มูลค่าประมาณ 4 แสนบาท เริ่มปลูกในช่วงเดือนสิงหาคมปี 2557 และเริ่มให้ผลผลิตในช่วงเดือนมีนาคมปี 2558 แต่ยังไม่เป็นที่พอใจนัก เนื่องจากต้นอินทผลัมที่เพาะเลี้ยงนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเพศผู้ ซึ่งจะออกแต่ดอกเพื่อนำมาใช้ผลิตเกสรนำไปผสมเท่านั้น จึงหันมานำเข้าต้นอินทผลัมที่ผ่านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเข้ามาปลูกโดยสั่งมาจากต่างประเทศ
โดยต้นที่มาจากการเพาะเนื้อเยื้อนั้นจะได้เพศตามที่ต้องการชัดเจน ผลผลิตและเรื่องรสชาติก็จะได้เหมือนตามต้นแม่อีกด้วย แต่ก็จะมีราคาสูงขึ้นไปตามขนาดไซส์ โดยคุณปรีชาจะน้ำเนื้อเยื้อมาอนุบาลจนกระทั่งมีราก ความสูงของต้นประมาณ 30 เซนติเมตร ก็สามารถนำลงปลูกได้แล้ว
ซึ่งเทคนิคการปลูกอินทผลัมของคุณปรีชาจะปลูกเว้นระยะแต่ละต้น 7 เมตร หรือถ้าคิดตามสัดส่วน 1 ไร่ สามารถลงปลูกได้ประมาณ 30 ต้น เพศผู้ประมาณ 3-4 ต้น ไว้เอาเกสรผสมพันธุ์กับเพศเมีย และควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับการผสมพันธุ์นั้นจะนำเกสรที่ได้จากตัวดอกซึ่งมีลักษณะคล้ายแป้ง นำมาผสมกับแป้งเด็ก(ที่ไม่มีกลิ่น) เกสร 1 ส่วน แป้งเด็ก 5 ส่วน แล้วน้ำไปพ่นตามช่อของต้นเพศเมียในช่วงก่อนเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม  โดยที่สวนของคุณปรีชาจะเน้นปลูกสายพันธุ์บาฮี ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่นิยมกินผลสดมีรสชาติหวาน มีหลายๆประมาณให้การยอมรับว่าสายพันธุ์นี้เมื่อมาเพาะปลูกที่ประเทศไทยมีรสชาติที่ดีกว่าหลายประเทศ

     อินทผลัมเมื่อลงปลูกแล้วจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี 4 เดือน ถึง 2 ปี ก็สามารถให้ผลผลิตได้แล้ว เฉลี่ยจะให้ต่อต้นประมาณ 80 กิโลกรัม ยิ่งอายุต้นมากขึ้นก็ยิ่งให้ผลผลิตมากขึ้นเช่นกัน โดยอายุ 10-50 ปี นั้น สามารถให้ผลผลิตสูงถึง 400 กิโลกรัมต่อต้นเลยทีเดียว ราคากิโลกรัมที่ขายอยู่ตอนนี้ตกกิโลกรัมละ 500-600 บาท (ผลสดสายพันธุ์บาฮี)
ทั้งนี้สวนของคุณปรีชาจำหน่ายต้นอินทผลัมแบบเพาะเนื้อเยื้อไซส์อนุบาลต้นละ 1,500-1,600 บาท อายุ 5-6 เดือน ต้นละ 3,000-4,000 บาท ซึ่งในบางช่วงจะมีลูกค้ามาเหมาจำนวนหลายต้นกว่า 30-40 ต้นต่อรอบ อย่างไรก็ตามคุณปรีชายังระบุด้วยว่าอินทผลัมในประเทศ ณ ขณะนี้สามารถทำได้เนื่องจากยังมีเกษตรกรที่หันมาทำจำนวนไม่มากนัก ถือได้ว่าเป็นพืชผลไม้ทางเลือกอีกชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้อย่างงอกงาม
ทั้งนี้หากใครที่สนใจอยากปลูกอินทผลัม หรือต้องการไปเลือกซื้อทั้งแบบเป็นต้น หรือเป็นผลแล้ว ก็สามารถเดินทางไปได้ที่ ‘สวนอินทผลัมปรีชา’ ตั้งอยู่ที่ 70 หมู่ 2 ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี หรือติดต่อได้ที่เบอร์ 081-309-6086, 087-320-5009 (คุณปรีชา)
บทความและภาพโดย ธเนตร พุทธิตระกูล
ต้นอนุบาลที่มีรากแล้ว
ผลสดของอินทผลัมสายพันธุ์บาฮี
ต้นอินทผลัม

เงินไหลเวียนดีด้วยการเลี้ยงปลาคาร์ฟเป็นอาชีพเสริม



เงินไหลเวียนดีด้วยการเลี้ยงปลาคาร์ฟเป็นอาชีพเสริม

การเลี้ยง “ปลาคาร์ฟ” เป็นอาชีพเสริม

ในยุคที่เศรษฐกิจมีความฝืดเคือง สาเหตุอันเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจโลกตกต่ำ การเงินในประเทศก็ไม่สู้ดี เงินเฟื้อเงินฝืด ค่าเงินลอยตัว ปัญหาความมั่นคงการก่อการร้าย ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ธุรกิจกระเตื้องหรือเติบโตช้า การมีงานทำถือเป็นความโชคดีที่สุดแล้ว แต่ทว่า อย่าว่าแต่เงินจะเก็บหอมรอมริบในแต่ละเดือนเลย การมีงานทำแต่เงินเดือนชักหน้าไม่ถึงหลัง ปัญหาหนี้สินยังพะรุงพะรังก็ยังคงรังควาญชีวติอยู่ จะแก้ปัญหานี้อย่างไร ทางออกหนึ่งสำหรับคนที่อยากปลดเปลื้องปัญหาการเงินคือ การมองหาอาชีพเสริม

การเลี้ยงปลาคาร์ฟ

เป็นอาชีพเสริมมีหลายคนที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ นั่นเพราะ การเลี้ยงปลาคาร์ฟมีตลาดรองรับทั้งในและต่างประเทศ  นอกจากตลาดขนาดใหญ่แล้ว ปลาคาร์ฟยังเป็นสัตว์โตไว มีสีสันสวยงาม ในตระกูลหรือครอบครัวไทยเชื้อสายจีนมีความคิดหรือความเชื่อมั่นว่าการเลี้ยงปลาคาร์ฟนั้นเป็นการเสริมสร้างพลังงานให้บ้านและการทำธุรกิจ หรือบ้าน เพราะการว่ายของปลาในน้ำมีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา และเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรงไม่เจ็บป่วย ปลากคราฟจึงเป็นปลาที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงและจับต้องได้ จึงเป็นที่มาของการเติบโตในภาคการตลาด
การเลี้ยงปลาคาร์ฟเป็นอาชีพเสริมสิ่งสำคัญอยู่ที่พ่อและแม่พันธุ์ปลาที่จะคัดมาเลี้ยง ซึ่งการเลือกพันธุ์ปลาคงไม่ได้เกิดขึ้นปุบปับ การตระเวนหาแหล่งพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จากฟาร์มที่น่าเชื่อถือจึงเป็นการเสียเวลาแต่จะทำให้คุณมั่นใจได้ในคุณภาพ เป็นการลงทุนด้านเวลาที่คุ้มค่า เมื่อเจอฟาร์มที่ใช่และไว้ใจได้แล้ว คุณต้องมีความรู้และต้องเป็นคนที่คัดปลาเองกับมือ หากคุณเป็นมือใหม่ยังไม่มั่นใจในความฉกาจฉกรรจ์อาจลองพาหรือหาผู้รู้ไปด้วยก็จะดี หลักๆ ของการคัดปลาคือต้องมีกำลังดี ว่ายแข็ง รูปร่างอ้วนถ้วนสมบูรณ์ ตำหนิน้อย เช่น เกล็ดมันวาวสมบูรณ์ ตามลำตัวไม่มีแผล หางไม่แหว่งเว้า สีสันและลวดลายเห็นชัดสีสด สีคม เพราะยิ่งสีชัดสีคมยิ่งเป็นการบอกว่าปลาตัวนี้มีความแข็งแรงในระดับหนึ่ง รวมถึงขนาดของตัวปลาก็เช่นกัน  เป็นต้น นอกจากนี้ คนที่เป็นผู้รู้หรือมีทักษะความชำนาญในการเลือกปลาจะสาสมารถดูออกว่าปลาตัวไหนมีโรคหรือไม่มีโรค สิ่งนี้สำคัญไม่แพ้กัน เพราะปลาที่ป่วยหรือเป็นโรค เป็นแหล่งเพาะโรคชั้นดีให้กับปลาในบ่อเดียวกัน หากเลือกไม่ดีได้ปลาป่วยจะทำให้ปลาตายยกบ่อได้ง่ายๆ  ในส่วนของราคาถูกแพงขึ้นอยู่ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด และปัจจัยอื่นๆ ประกอบอีกยิบย่อย ราคามีสูงไปจนหลักหมื่นถึงหลักแสนเลยก็ยังมี หากคุณเป็นนักล่าอาชีพเสริมหน้าใหม่ ลองเล่นราคาแบบย่อมเยาว์ดูก่อนจะดีกว่า เมื่อเสต็ปเลือกสรรปลาเรียบร้อยก็เข้าสู่การนำลงบ่อ
การเตรียมน้ำก็สำคัญอีกเช่นกัน พึงระลึกเสมอว่าน้ำไม่ดีปลาเน่าตายได้ง่ายๆ น้ำที่ดีควรมีการกรองน้ำและทิ้งน้ำไว้สักสามวันเพื่อให้คลอรีนระเหยออกไป น้ำประปาตามบ้านเรานี่แหละที่ดีที่สุด สะอาดตามมาตรฐานการประปาไทย ถ้าไม่มั่นใจหาอุปกรณ์วัดค่า ph ของน้ำก็ได้ เพื่อจะได้มั่นใจว่าไม่มีกรดไม่มีด่างมาคอยกวนใจปลาแล้วค่อยๆ ปล่อยปลาน้อยลงไปเวียนว่าย ผ่านไปสักสองวันจึงค่อยฟีดปลา เรียกได้กว่าให้ปลาได้ปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมน้ำ สภาพเพื่อน สภาพการกินอยู่จะทำให้ปลาแข็งแรงกว่าทำแบบรีบร้อน และแม้ว่าปลากคราฟจะเป็นปลาที่ทนต่อสภาพต่างๆ ได้ดี กินง่ายอยู่ง่ายอารมณ์ดีก็ตาม แต่อย่างที่กล่าวไว้ว่าน้ำคือสิ่งที่มาคอยหล่อเลี้ยงพวกเขาเหล่านั้น การรักษาความสะอาดโดยการให้น้ำไหลเวียนอย่างเป็นธรรมชาติจะยิ่งทำให้ปลาแข็งแรงและสวยงามเป็นทวีคูณ ทริคคือในบ่อหนึ่งๆ ควรมีจำนวนปลาไม่แน่นเกินไปเพื่อให้เขาได้แหวกว่ายอย่างสบายใจ หรือหากจะมีหลายตัวบ่อก็ควรมีขนาดกว้างมากขึ้น
การเลี้ยงปลาคราฟ
ในด้านของอาหารการกิน ปลากกินทั้งลูกน้ำ กุ้งฝอย หนอน กระทั้งอาหารเม็ด หรืออาหารสำเร็จรูปสำหรับปลา และมีทั้งแบบธรรมดาแบบเสริมอาหารเพื่อเร่งปลาให้โต เร่งวุ้น เร่งสี   อาหารที่ลอยอยู่ควรช้อนทิ้งเพื่อไม่ให้น้ำเน่าเสีย  อาหารตามธรรมชาติพวกตะไคร่เป็นอาหารตามธรรมชาติชั้นดีของปลา ปล่อยไว้ได้
จากความเอาใจใส่ที่ไม่ต้องจุกจิกมากเหมือนอาชีพเสริมประเภทอื่นๆ ทำให้การเลี้ยงปลาคาร์ฟเป็นแหล่งโกยเงินโกยทองที่สำคัญในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยมีส่วนแบ่งในตลาดโลกเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาสวยงามร้อยละ 5.0 อยู่ในอันดับเจ็ดของเอเชีย ซึ่งเอเชียเองครองตลาดส่งออกกว่า 50% เหตุใดเลยเราจะไม่สนใจอาชีพเสริมนี้ ส่วนตลาดในประเทศแม้จะได้รับความนิยม แต่เมื่อเทียบกับการเติบโตของตลาดต่างประเทศแล้ว ยังมีโอกาสคว้ากำไรได้อีกไม่รู้จบ อีกทั้งประเทศไทยเองยังมีความได้เปรียบในสภาพแวดล้อม ทั้งน้ำ อากาศ ที่ส่งผลให้การเลี้ยงปลาคาร์ฟเติบโตได้ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ตลาดต่างประเทศที่เขาสนใจและนำเข้าปลาของบ้านเราคือตลาดสหรัฐและยุโรป แค่สองแหล่งนี้ก็บอกเป็นนัยๆ ได้แล้วว่าเงินจะไหลเข้าเทเข้าแบบไม่เว้นแต่ละวัน หากเราตั้งใจและมุ่งมั่น ไม่แน่ว่าอาชีพเสริมนี้อาจกลายเป็นอาชีพหลักที่ทำให้ร่ำรวยขึ้นมาได้ในพริบตา

การเลี้ยงปลาหมอ เลี้ยงง่าย รายได้ดี มีตลาดรองรับ


การเลี้ยงปลาหมอ เลี้ยงง่าย  รายได้ดี มีตลาดรองรับการเลี้ยงปลาหมอ

“ข่อยนี้คือดั่งปลาเข็งข่อน หนองนาน้ำเขินขาด คันแม่นฝนบ่มาหยาดให้ สิตายแล้งแดดเผา เจ้าเอย” ถ้าเว่าถึงปลาที่หาง่าย รสชาติอร่อย หนึ่งในนั้นก็ต้องมีปลาหมอ (ภาษาอีสานเรียกว่า ปลาเข็ง)  การเลี้ยงปลาหมอเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากปลาหมอในธรรมชาติที่ลดน้อยลง ซึ่งสวนทางกับความต้องการที่สูงขึ้น รสชาติที่มีความหอม เนื้อรสหวานและกลมกล่อม จึงทำให้เริ่มมีการเลี้ยงปลาหมอเชิงพานิชย์เกิดขึ้น  การเลี้ยงปลาหมอสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการเลี้ยงปลาหมอในบ่อซีเมนต์ การเลี้ยงปลาหมอในบ่อดิน หรือการเลี้ยงปลาหมอในกระชัง โดยเกษตรอีสานวันนี้จะนำหลักการเลี้ยงปลาหมอทั่วไปให้พี่น้องบ้านเฮาได้นำไปปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเอง เพราะปลาหมอเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย กินง่าย ทนต่อสภาพแวดล้อม
ราคาปลาหมอ
ราคาปลาหมอ
ปลาหมอ
ปลาหมอ
ปลาหมอเป็นปลาเนื้อนุ่ม รสชาติอร่อย ลักษณะลำตัวป้อมค่อนข้างแบน สีน้ำตาลปนเหลืองดำ ถือว่าเป็นปลาน้ำจืดที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไม่น้อย เพราะเป็นที่ต้องการในตลาดเพื่อการบริโภคอย่างแพร่หลาย สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งแกง ต้ม ทอด ย่าง  ปัจจุบันการเพาะเลี้ยงปลาหมอในไทย มีการพัฒนาสายพันธุ์ปลาหมอเพิ่มขึ้นมาหลายสายพันธุ์ เช่น ปลาหมอชุมพร ปลาหมอนา ปลาหมอสี  แม้ว่าจะยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก แต่กลับมีความต้องการส่งออกไปต่างประเทศค่อนข้างสูง ทั้งที่ในประเทศก็มีความต้องการมากเช่นกัน ดังนั้น  หากมีการส่งเสริมและพัฒนาความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาหมอให้กับเกษตรกรได้  ก็จะมีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและยังทำให้กลุ่มเกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นด้วย
เมนูปลาหมอทอด
เมนูปลาหมอทอด

การเลือกสถานที่เลี้ยงปลาหมอ

  • ควรเป็นดินเหนียวหรือดินเหนียวปนทราย เพื่อให้สามารถกักเก็บน้ำได้
  • อยู่ใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อให้แน่ใจว่ามีน้ำเพียงพอตลอดทั้งปี

การเตรียมบ่อเลี้ยงปลาหมอ

เริ่มจากการเตรียมบ่อสำหรับการเลี้ยงปลาหมอ เป็นบ่อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 3 บ่อ ดังต่อไปนี้
  • บ่อสำหรับอนุบาลลูกปลาหมอนา ขนาด 6×7 เมตร
  • บ่อผสมพันธุ์ปลาหมอนา ขนาด 6×7 เมตร
  • บ่อสำหรับเลี้ยงปลาหมอนา ขนาด 6×7 เมตร
การเลี้ยงปลาหมอในบ่อดิน
การเลี้ยงปลาหมอในบ่อดิน
การเลี้ยงปลาหมอในบ่อพลาสติก
การเลี้ยงปลาหมอในบ่อพลาสติก
การเลี้ยงปลาหมอในวงบ่อปูนซีเมนต์
การเลี้ยงปลาหมอในวงบ่อปูนซีเมนต์

การคัดเลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลาหมอ

พ่อพันธุ์ ควรมีลักษณะลำตัวยาวว่ายน้ำปราดเปรียว และในการคัดพ่อพันธุ์ให้ทำตอนเช้า หลังจากเปลี่ยนถ่ายน้ำก่อนให้อาหาร  พ่อพันธุ์ที่พร้อมการผสมพันธุ์บริเวณปลายหัวจะออกเป็นสีแดง เกล็ดนวลเงา ไม่เป็นแผล
แม่พันธุ์ ควรจะมีขนาดป้อมสั้น ลำตัวมีความยาวประมาณ 3 นิ้ว การคัดเลือกแม่พันธุ์ปลาหมอนาให้ทำตอนเช้า หลังจากเปลี่ยนถ่ายน้ำก่อนให้อาหารแม่พันธุ์ที่พร้อมจะมีลักษณะท้องบวมเป่ง แสดงว่ามีไข่ อวัยวะเพศมีสีแดงชมพูเรื่อ
พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลาหมอ
พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลาหมอ

การผสมพันธุ์ปลาหมอนา

ให้ทำการผสมพันธุ์กันในช่วงฤดูฝน คือระหว่างเดือน พ.ค.- ก.ค. ในบ่อผสมพันธุ์ควรใส่น้ำปริมาณความสูง 50-60 เซนติเมตร และหาผักบุ้งใส่ในบ่อด้วย เพื่อเป็นที่กำบังและซ่อนตัวเวลาฟักไข่  นำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลาหมอนาอัตราส่วน ปลาหมอตัวเมีย 1 ตัว ต่อ ตัวผู้ 2 ตัว ลงในบ่อ เช่น แม่พันธุ์ 100 ตัว ต่อพ่อพันธุ์ 50 ตัว  แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้ผสมพันธุ์กันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ หลังจากนั้น ให้แยกพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ออกจากลูกปลาหมอที่ยังเป็น ลูกคอก
ปลาหมอโตเต็มวัย
ปลาหมอโตเต็มวัย

การให้อาหารและการอนุบาลลูกปลาหมอ

จัดการน้ำและอาหารธรรมชาติเข้าบ่อและกรองน้ำด้วยมุ้งตาถี่ ระดับน้ำ 50 เซนติเมตร ใช้ปลาป่นผสมรำละเอียดเป็นอาหารในช่วง 3วันแรก เริ่มให้ไข่ พอเริ่มวันที่ 4 ให้ไก่ต้มสุกเอาเฉพาะไข่แดงบดผ่านผ้าขาวบางผสมน้ำสาดทั่วบ่อ และอาหารผงสำเร็จรูปหรือรำละเอียดผสมปลาป่น อัตรา 1 ต่อ 1 หลังจากอนุบาล 3 สัปดาห์ ค่อยๆเพิ่มระดับน้ำเป็น 80 เซนติเมตร
ลูกปลาหมอ
ลูกปลาหมอ
การให้อาหารปลาหมอ
การให้อาหารปลาหมอ

การเปลี่ยนถ่ายน้ำในบ่อเลี้ยงปลาหมอ

ถึงแม้ปลาหมอจะเลี้ยงง่าย ทนต่อสภาพน้ำ แต่ก็ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำเพื่อให้ปลาเจริญเติบโตได้ดี และกินอาหารได้มากขึ้น  โดยเปลี่ยนถ่ายน้ำประมาณเดือนละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำในบ่อ เพื่อให้ปลาปรับตัวได้ง่าย และประหยัดน้ำได้มากกว่าเปลี่ยนหมดทั้งบ่อ
การอนุบาลลูกปลาหมอ
การอนุบาลลูกปลาหมอ

ระยะเวลาและการจับปลาหมอ

โดยทั่วไปใช้เวลาเลี้ยง ประมาณ 90-120 วัน ถ้าจำหน่ายเมื่อโตเต็มที่ จะได้ราคาอย่างน้อยกิโลกรัมละ 150 บาท แต่ถ้าเลี้ยงเพื่อเพาะพันธุ์ลูกปลาขาย  ราคาทั่วไปที่จำหน่ายคือ ตัวละ 1 บาท
การจับปลาหมอเพื่อจำหน่าย

เลี้ยงหอยขมและกุ้งรวมกันในบ่อปูน ต้นทุนน้อย เลี้ยงกินก็ง่าย เลี้ยงขายรายได้ดี!



เลี้ยงหอยขมและกุ้งรวมกันในบ่อปูน ต้นทุนน้อย เลี้ยงกินก็ง่าย เลี้ยงขายรายได้ดี!

  ต้องยอมรับว่าค่าครองชีพทุกวันนี้สูงมาก มนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเรา หากมีรายได้จากเงินเดือนอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในแต่ล่ะเดือน หลายคนจึงเลือกที่จะหารายได้เพิ่ม จากการทำงานพาร์ทไทม์ ขายของออนไลน์ หรือหาทางเพิ่มรายได้จากการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ ขายอาหารหลังเลิกงาน เป็นต้น หากตอนนี้เงินเดือนของคุณยังไม่เหลือเก็บ ใช้เดือนชนเดือนอยู่บ่อยๆ ลองหารายได้เสริมจากการเลี้ยงกุ้งรวมกับหอยขมดูไหม เป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง สามารถเพิ่มรายได้ให้คุณได้ง่ายๆ และไม่ค่อยรบกวนงานประจำของคุณอีกด้วย ปัจจุบันราคากุ้งฝอยในท้องตลาดเริ่มตั้งแต่กิโลกรัมละ 300-400 บาท และหอยขมราคาประมาณ 50-70 บาท  มีวิธีการเลี้ยงอย่างไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยค่ะ
เริ่มต้นจากการเตรียมบ่อ
วิธีเตียมบ่อ
เติมน้ำ 3/4 ของบ่อ แล้วใส่หยวกกล้วยสับลงไปแช่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้หยวกกล้วยช่วยกำจัดฤทธิ์ปูน ช่วยปรับค่า PH ในบ่อให้สมดุล พอครบ 1 สัปดาห์ หรือสังเกตว่ามีหนอนแดงเกาะตามขอบบ่อแสดงว่าบ่อพร้อมใช้งาน ให้เก็บหยวกกล้วยออกแล้วใส่ดินลงไป ครึ่งคืบ ใส่น้ำค่อนวง เลี้ยงพืชน้ำ พวกผักตบจอกแหน ซักสองอาทิตย์จะเริ่มมีตะไคร่น้ำเขียวๆเกาะตามขอบวง ปล่อยหอยและกุ้งได้เลย ให้อาหารปลาดุก(ทีละน้อย) ให้เศษผักทีละน้อย ถ้าให้พอดีน้ำจะไม่เน่า
หรืออีกวิธีคือ ใช้น้ําส้มสายชู เติมลงไป ทิ้งไว้ 2-3 วัน แล้วเปลี่ยนน้ําออก แล้วเติมน้ําใหม่เข้า วัดค่า ph ถ้าอยู่ในช่วง 7.5-8.5 ก็ถือว่าใช้ได้
• นำพืชน้ำที่เตรียมไว้ลงไปปลูก โดยพืชน้ำที่จะเป็นที่อาศัยของกุ้งฝอย อย่างสาหร่ายหรือ ผักตบชวาเพื่อช่วยในการปรับสภาพน้ำในบ่อด้วย
•  แล้วปล่อยกุ้งลงไปประมาณ 5 ขีด ต่อ 1 บ่อ ช่วงปล่อยกุ้งลงไปไม่ต้องให้อาหารประมาณ 7 วัน เพื่อให้กุ้งปรับสภาพในบ่อ
อาหารกุ้งฝอย
1.ต้มไข่ให้สุก เอาเฉพาะไข่แดง 2 ฟอง
2.รำอ่อน 3 ขีดผสมให้เข้ากัน ปั้นเท่ากำปั้น โยนลงไปในบ่อประมาณ 3 ก้อน หลังจากให้อาหารประมาณ1 เดือน กุ้งจะวางไข่ให้สังเกตตอนกลางคืนโดยการนำไฟฉายมาส่องดูว่ากุ้งจะวางไข่หรือไม่
เทคนิคการเร่งกุ้งให้วางไข่ ให้นำสายยางน้ำประปามาเปิดลงในบ่อ โดยการเปิดแรงๆ ประมาณ 10-20 นาที เพราะกุ้งชอบเล่นน้ำไหลแล้วจะดีดตัวทำให้ไข่ตกลงมา (ธรรมชาติน้ำนิ่งกุ้งไม่วางไข่) ประมาณ 1-2 เดือน กุ้งก็จะโตเต็มที่ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 4 เดือน จะได้กุ้งประมาณ 20-30 กิโลกรัม
สูตรวิธีการช่วยดับกลิ่นฆ่าเชื้อโรคในบ่อ และให้กุ้งโตเร็ว
1.EM 2 ช้อนแกง
2.กากน้ำตาล 2 ช้อนแกง
3.น้ำ 1 ลิตร
  นำส่วนผสมมาหมักรวมกันตั้งทิ้งไว้ในที่ร่ม 1 อาทิตย์ อัตราส่วนในการใช้ : อีเอ็ม 1 ลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร ใส่บัวรดน้ำราดให้ทั่วบ่อ จะใช้หลังจากที่เติมน้ำลงไปก่อนปล่อยกุ้ง จะช่วยดับกลิ่นฆ่าเชื้อโรคในบ่อ กุ้งโตเร็ว
อาหารสำหรับหอยขม 
ใช้อาหารปลาสูตรสำหรับปลากินพืชทั่วไป นำไปใช้ได้เลย ให้ตามอัตราที่ 2 % ต่อน้ำหนักตัวของหอย โดยลองเอาหอยแต่ละช่วงอายุที่เราเลี้ยง สุ่มเอามาชั่งน้ำหนักดู เช่น ชั่งได้ 1,000 กรัม (หรือ 1กิโลกรัม) จากนั้นก็เอาจำนวนตัวหอยที่ชั่ง มาหารน้ำหนัก ก็จะเป็นน้ำหนักเฉลี่ย หรือน้ำหนักหอย 1 ตัว แล้วค่อยคำนวณหาจำนวนหอยโดยประมาณของหอยทั้งหมดในบ่อ แล้วคูณ ด้วย 2%  ก็จะได้น้ำหนักอาหารที่ควรจะให้กับหอย เพราะเราไม่รู้ว่า ในบ่อนั้นมีหอยเกิดใหม่ หรืออาศัยอยู่หลังจากเราปล่อยลงไปตอนแรกกี่ตัว  ให้ใช้วิธีกะประมาณเอาง่ายที่สุด และไม่ควรให้อาหารน้อยเกินไป เพราะหอยจะไม่อวบ ไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าให้เยอะเกิน ระวังน้ำจะเสียได้ หอยจะชอบกินพวกตะไคร่น้ำ หรือสารอินทรีย์ที่ล่องลอยอยู่ในน้ำได้อยู่แล้ว ฉะนั้นอย่าเผลอให้อาหารเยอะเกินไป และน้ำในบ่อสะอาดก็เป็นอันใช้ได้
ระยะเวลาการเลี้ยงหอย
ไม่นานเกินรอประมาณ 2 เดือน ได้เริ่มจับขายแน่นอน แต่ต้องทยอยจับ เพราะหอยพวกนี้โตไม่เท่ากัน และมีหลายขนาด พวกมันขยายพันธุ์ได้ดีมาก เพราะในตัวเดียวกันมีสองเพศ พูดง่าย ๆ มันไม่ต้องจับคู่ผัวเมียผสมพันธุ์เหมือนสัตว์อื่นๆ  ผสมในตัวเอง แล้วออกลูกเป็นตัวได้เลย หอย 1 ตัวออกลูกประมาณ 40 - 50 ตัว
 
ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยอีกทางหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการหารายได้เพิ่มจากงานประจำ ใครที่สนใจก็ลองทำดูนะคะ นอกจากจะเลี้ยงง่ายแล้ว ราคาก็ยังดีอีกด้วย ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าได้ไม่น้อยเลย